วันจันทร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2555

๓๑ มกราคม ๒๔๐๘ เชิญพระบางออกจากวัดจักรวรรดิราชาวาสคืนไปหลวงพระบาง

เชิญพระบางออกจากวัดจักรวรรดิราชาวาสคืนไปหลวงพระบาง


 พระบางเป็นพระพุทธรูปปางประทานอภัย สูงสองศอกเจ็ดนิ้ว (ประมาณ ๑.๑๔เมตร)หล่อด้วยสำริด (ทองคำผสม ๙๐ เปอร์เซ็นต์) มีอายุอยู่ราวปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๘ ถึงตอนต้นของพุทธศตวรรษที่ ๑๙ ตามศิลปะเขมรแบบบายนตอนปลาย โดยมีพุทธลักษณะคือ ประทับยืนยกพระหัตถ์ขึ้น นิ้วพระหัตถ์เรียบเสมอกัน พระพักตร์ค่อนข้างเป็นรูปสี่เหลี่ยม พระนลาฏกว้าง พระขนงเป็นรูปปีกกา พระเนตรเรียว พระนาสิกค่อนข้างแบน พระโอษฐ์บาง พระเศียร และพระเกตุมาลาเกลี้ยงสำหรับสวมเครื่องทรง บั้นพระองค์เล็ก พระโสณีใหญ่ ครองจีวรห่มคลุม แลเห็นแถบสบง และหน้านาง

พระบางเป็นพระพุทธรูปสำคัญของอาณาจักรล้านช้าง แต่ชาวอีสานมีความเลื่อมใสมากและมักจะจำลองพระบางมาไว้ที่วัดสำคัญๆ ของท้องถิ่น เช่น พระบางวัดไตรภูมิ อำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม และพระบางจำลองวัดพระเหลา อำเภอพนา จังหวัดอำนาจเจริญ เป็นต้น พระบางเป็นพระพุทธรูปที่เคยอัญเชิญมาประดิษฐานที่กรุงเทพมหานคร ถึง ๒ ครั้ง และมีเรื่องราวเกี่ยวข้องกับสังคมอีสานอยู่เนืองๆ

พระบาง เดิมนั้นประดิษฐานอยู่ที่นครหลวงของอาณาจักรขอม จนเมื่อ พ.ศ.๑๙๐๒พระเจ้าฟ้างุ้มกษัตริย์แห่งล้านช้างซึ่งมีความเกี่ยวพันทางเครือญาติกับพระเจ้ากรุงเขมร มีพระราชประสงค์ที่จะเผยแผ่พระพุทธศาสนาให้ประดิษฐานมั่นคงในพระราชอาณาจักร จึงได้ทูลขอพระบางเพื่อมาประดิษฐาน ณ เมืองเชียงทองอันเป็นนครหลวงของอาณาจักรล้านช้างในขณะนั้น

แต่เมื่ออันเชิญพระบางมาได้ถึงเมืองเวียงคำ (บริเวณแถบเมืองเวียงจันทน์ในปัจจุบัน) ก็มีเหตุอัศจรรย์ขึ้นจนไม่สามารถเดินทางต่อไปได้ พระบางจึงได้ประดิษฐานอยู่ที่เมืองนี้จนถึง พ.ศ.๒๐๕๕ อันเป็นสมัยของพระเจ้าวิชุณราช ผู้ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นเจ้าเมืองเวียงคำมาก่อน จึงสามารถนำเอาพระบางขึ้นไปประดิษฐานไว้ที่วัดวิชุนราชในนครเชียงทอง ทำให้เมืองเชียงทองถูกเรียกว่า หลวงพระบาง นับแต่นั้นเป็นต้นมา

ในระหว่างปี พ.ศ.๒๓๒๑-๒๓๒๒เกิดสงครามระหว่างกรุงธนบุรีกับกรุงศรีสุตนาคนหุต เมื่อสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกและเจ้าพระยาสุรสีห์ได้ชัยชนะแก่พระเจ้าสิริบุญสาร (องค์บุญ) จึงได้อัญเชิญเอาพระแก้วมรกตและพระบางเจ้าลงไปถวายสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช โดยโปรดให้ประดิษฐานไว้ที่วัดจักรวรรดิราชาวาส หรือ วัดสามปลื้ม

เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ปราบดาภิเษกครองราชย์สมบัติเมื่อ พ.ศ.๒๓๒๕ก็โปรดเกล้าฯ ให้เจ้านันทเสนอัญเชิญพระบางไปประดิษฐานไว้ ณ เมืองหลวงพระบาง ซึ่งพระบางสถิตอยู่กรุงเทพฯ เป็นเวลา ๓ ปีเศษ

ความเชื่อเรื่องผีอารักษ์ประจำพระพุทธรูปสำคัญของอาณาจักรล้านช้าง

ชาวล้านช้างเชื่อถือกันมาแต่โบราณว่า พระพุทธรูปสำคัญย่อมมี ผีคือ เทวดารักษาทุกพระองค์ ผู้ปฏิบัติบูชาจำต้องเซ่นสรวงผีที่รักษาพระพุทธรูปด้วย เพราะถ้าผีนั้นไม่ได้ความพอใจ ก็อาจบันดาลให้เกิดภัยอันตรายต่างๆ หรืออีกอย่างหนึ่งถ้าผีที่รักษาพระพุทธรูปต่างพระองค์เป็นอริกัน หากนำเอาพระพุทธรูปนั้นไว้ใกล้กัน ก็มักเกิดอันตรายด้วยผีวิวาทกัน เลยขัดเคืองต่อผู้ปฏิบัติบูชา

คติที่กล่าวๆมาปรากฏขึ้นในกรุงเทพครั้งแรกเมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงสร้างวัดพระศรีรัตนศาสดาราม โปรดให้อัญเชิญพระแก้วมรกตมาประดิษฐานเมื่อ พ.ศ.๒๓๒๗

ครั้งนั้นโปรดให้อัญเชิญพระบางอันเป็นพระพุทธรูปสำคัญคู่เมืองหลวงพระบาง แล้วตกไปเป็นของพระเจ้ากรุงศรีสัตนาคนหุตอยู่ ณ เมืองเวียงจันทน์ พระองค์ได้ทรงอัญเชิญลงมาพร้อมกับพระแก้วมรกต เข้ามาประดิษฐานไว้ในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม

เจ้านันทเสนบุตร พระเจ้าล้านช้างกราบบังคลทูลว่าผีซึ่งรักษาพระแก้วมรกตกับพระบางเป็นอริกัน พระพุทธรูป ๒พระองค์นั้นอยู่ด้วยกันในที่ใด มักมีเหตุภัยอันตราย อ้างอุทาหรณ์แต่เมื่อครั้งพระแก้วมรกตอยู่เมืองเชียงใหม่ กรุงศรีสุตนาคนหุตก็อยู่เย็นเป็นสุข

ครั้งพระเจ้าไชยเชษฐาเชิญพระแก้วมรกตจากเมืองเชียงใหม่ไปไว้ด้วยกับพระบางที่เมืองหลวงพระบาง เมืองเชียงใหม่ก็เป็นกบฏต่อกรุงศรีสุตนาคนหุต แล้วพม่ามาเบียดเบียน จนต้องย้ายราชธานีลงมาตั้งอยู่ ณ นครเวียงจันทน์

ครั้นอัญเชิญพระบางลงมาไว้นครเวียงจันทน์กับพระแก้วมรกตด้วยกันอีก ก็เกิดเหตุจลาจลต่างๆ บ้านเมืองไม่ปกติ จนเสียนครเวียงจันทน์ให้กับกรุงธนบุรี

ครั้งอัญเชิญพระแก้วมรกตกับพระบางลงมาไว้ด้วยกันในกรุงธนบุรี ไม่ช้าก็เกิดเหตุจลาจล ขออย่าให้ทรงประดิษฐานพระบางกับพระแก้วมรกตไว้ด้วยกัน พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงพระราชดำริว่า พระบางก็ไม่ใช่พระพุทธรูปซึ่งมีลักษณะงาม เป็นแต่พวกชาวศรีสัตนาคนหุตนับถือกัน จึงโปรดให้ส่งพระบางคืนขึ้นไปไว้ ณ นครเวียงจันทน์ โดยให้เชิญพระบางออกจากวัดจักรวรรดิราชาวาสคืนไปหลวงพระบางเมื่อวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๔๐๘


พระบางจึงประดิษฐานอยู่ที่ หอพระบาง พิพิธภัณฑ์เมืองหลวงพระบาง นับแต่บัดนั้นจนปัจจุบัน

อ้างอิง :
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%87

วันเสาร์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2555

๒๙ มกราคม ๒๕๔๖ จลาจลบุกเผาสถานทูตไทยในกรุงพนมเปญ


เกิดข่าวลือในประเทศกัมพูชาว่า สุวนันท์ คงยิ่ง นักแสดงหญิงชาวไทยขวัญใจชาวกัมพูชา ได้กล่าวว่านครวัดเป็นของไทย เป็นเหตุให้ชาวกัมพูชาโกรธแค้นและก่อการจลาจลในกรุงพนมเปญ โดยได้บุกเผาสถานทูตไทยและยังบุกเผาหรือเข้าทำลายข้าวของและฉกฉวยเอาทรัพย์สินของบริษัทห้างร้านอาคารพาณิชย์ที่คนไทยเป็นเจ้าของ ในกรุงพนมเปญสร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวง ทางด้านรัฐบาลไทยในขณะนั้นได้แก้ปัญหาโดยส่งเครื่องบินลำเลียงซี-130 ไปรับคนไทยกว่า๕๐๐คน กลับประเทศ ทำการปิดด่านชายแดน ลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูต และเรียกร้องให้ทางการกัมพูชาชี้แจงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมทั้งชดใช้ค่าเสียหาย

                                                                
จากเหตุจลาจลครั้งนั้น รัฐบาลกัมพูชาได้ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ฝ่ายไทยรวมเป็นเงิน๒,๐๐๐ ล้านบาท ส่วนธุรกิจต่างๆ ที่ได้รับความเสียหาย ได้รับการชดใช้เป็นการลดหย่อนภาษีหรือค่าธรรมเนียมต่างๆ แทนเงินสดเป็นส่วนใหญ่


หลังเหตุการณ์ครั้งนั้นมีการวิเคราะห์กันว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาการเมืองความขัดแย้งภายในของกัมพูชาเองเพราะใกล้จะมีการเลือกตั้ง อีกสาเหตุมาจากปัญหาเศรษฐกิจ ผลประโยชน์ทางการค้าไม่ลงตัว เกิดกระแสค่านิยมรักชาติ ห้ามการร้องเพลงไทย ห้ามรายการโทรทัศน์ไทย ห้ามสร้างบ้านแบบไทย


กระแสรักชาติที่ถูกปลุกเป็นระยะกลายเป็นการคลั่งชาติ สุดท้ายระเบิดด้วยข่าวลือเรื่องดาราสาว สุวนันท์ คงยิ่ง ที่ปล่อยข่าวว่าเธอพูดจาดูหมิ่น

นอกจากสาเหตุทางการเมืองและเศรษฐกิจแล้ว ควรดูที่ประวัติศาสตร์ระหว่างไทยและเขมรที่มีความสัมพันธ์กันมานานกว่าพันปี

อาณาจักรอันรุ่งเรืองของเขมรโบราณคือนครวัด นครธม มีเมืองหลวงมีชื่อเป็นทางการว่า ยโสธรปุระ ถูกกองทัพอยุธยาตีแตก ๓ ครั้ง ครั้งแรกในสมัยพระเจ้าอู่ทองหลังสถาปนากรุงศรีอยุธยาได้สอง-สามปี ครั้งที่สองในสมัยพระราเมศวร และครั้งที่สามในสมัยเจ้าสามพระยา เขมรเสียเมือง ต้องทิ้งให้นครวัดนครธมที่เคยยิ่งใหญ่กลับกลายเป็นเมืองร้าง แล้วย้ายไปตั้งเมืองใหม่ที่เมืองละแวก ซึ่งในสมัยพระนเรศวร ก็ยกทัพไปตีแตกและทำลายเมือง เขมรต้องย้ายไปเมืองอุดง แล้วไปอยู่ที่เมืองจตุรมุข หรือ พนมเปญในปัจจุบัน
คนเขมรรู้สึกอย่างไร ดูจากประวัติศาสตร์ แล้วเทียบเคียงความรู้สึกของคนไทยกับสิ่งที่พม่าทำกับกรุงศรีอยุธยาก็น่าจะพอเข้าใจได้
ความสัมพันธ์ไทย-เขมรปัจจุบันมีลักษณะไม่เท่าเทียม ด้านเศรษฐกิจเขมรเสียดุลการค้าไทยมากที่สุด อาจจะประมาณสองหมื่นล้าน เครื่องอุปโภคบริโภคส่วนใหญ่ไปจากไทย ในแง่ฐานะทางเศรษฐกิจเรารวยกว่า ประสบความสำเร็จมากกว่า ทำให้เกิดความชิงชังโดยส่วนรวม ในแง่ความเปลี่ยนแปลงทางสังคม วัฒนธรรมไทย ซึ่งรวมทั้ง ภาษา เพลง ดนตรี ละครโทรทัศน์ ภาพยนตร์ สิ่งพิมพ์ต่างๆของไทย เข้าไปเผยแพร่และได้รับความนิยมในกัมพูชามาก
ความคิดเรื่องเสียดุลการค้าและถูกรุกรานทางวัฒนธรรม อาจจะคล้าย ๆ กับเมื่อ ๓๐ กว่าปีที่แล้วที่ไทยเสียดุลการค้าญี่ปุ่นมาก มีการเดินขบวนต่อต้านสินค้าญี่ปุ่น จนเป็นเรื่องราวใหญ่โต เราคงต้องเรียนรู้จากการแก้ไขปัญหาของญี่ปุ่น  จะเห็นได้ว่าหลังจากนั้นญี่ปุ่นได้ปรับตัว ทุ่มเงินจัดการเรื่องสร้างความเข้าใจทาง วัฒนธรรม ภาษา มีการแปลนิยายไทยเป็นภาษาญี่ปุ่น เอาหนังไทยไปฉาย ไทยอาจต้องทำแบบนั้นบ้างกับประเทศเพื่อนบ้าน
ตำราประวัติศาสตร์ต้องชำระให้เกิดความเข้าใจถูกต้อง ในอดีตเรามองว่าสงครามไทยรบพม่ารบเขมร แต่ที่จริงแล้วคือเรื่องของเมืองต่อเมือง อาณาจักรต่ออาณาจักร กษัตริย์ต่อกษัตริย์ ไม่ใช่ชนชาติทั้งชนชาติไปรบกัน ไม่ใช่ความเกลียดชังในฐานะคนไทยกับคนเขมร คนพม่า  
อีกไม่กี่ปีปีข้างหน้า สิ่งที่สำคัญยิ่งสำหรับชาวภูมิภาคอุษาคเนย์กำลังจะเกิดขึ้น นั่นคือการรวมกันเป็นประชาคมอาเซียน แต่เมื่อมองดูความสัมพันธ์ระหว่างประเทศต่างๆแล้ว ก็จะเห็นว่าปัญหาต่างๆยังรอการแก้ไขอยู่อีกไม่ใช่น้อย
การตีความประวัติศาสตร์แบบผิด ๆ อันอาจสืบเนื่องมาจากอคติระหว่างชนชาติ และ อาจก่อให้ เกิดอคติต่อเนื่องไปไม่รู้จบ ควรต้องมีการเอาตำราประวัติศาสตร์ สังคมศึกษามาแปลดูกันในหมู่อาเซียน แล้วชำระกันใหม่ให้ถูกต้องตามหลักฐานทางวิชาการ แน่นอนว่า อาจเป็นการยากที่จะลบความทรงจำของคนในรุ่นนี้ที่ได้รับการปลูกฝังความเชื่อมานาน และยากยิ่งกว่าที่จะยอมรับความจริงใหม่ๆที่ค้านกับความเชื่อเดิมนั้น แต่หากไม่เริ่มลงมือทำ ปัญหากระทบกระทั่งระหว่างประเทศก็จะเป็นระเบิดเวลาที่รอการประทุขึ้นอีกไม่รู้ว่าวันใด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเอาเรื่องราวทางประวัติศาสตร์มาบิดเบือน หรือ ใช้ความจริงบางส่วนมาสนองต่อผลประโยชน์ทางการเมือง ก็จะยิ่งซ้ำเติมความรุนแรงให้หนักหนายิ่งขึ้นจนยากที่จะแก้
ชาวกัมพูชาเคยตกเป็นเครื่องมือของนักการเมืองประเทศเขามาแล้ว ผู้ที่ได้รับผลเสียหายก็หนีไม่พ้นประชาชนทั้งสองประเทศ ชาวไทย พ.ศ.นี้ ระวังไว้บ้างก็ดีนะครับ อย่าหลงกลตกเป็นเหยื่อนักการเมืองเป็นอันขาด เพราะสุดท้ายแล้วก็มีแต่ประชาชนอย่างเราๆนี่แหละครับที่เดือดร้อน นักการเมืองน่ะ เอาเข้าจริงก็เผ่นไปไหนต่อไหนแล้ว

ขอบคุณWeb site ต่อไปนี้เป็นอย่างยิ่งครับ :
http://www.fpps.or.th/news.php?detail=n1058350734.news

วันศุกร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2555

๒๗ มกราคม ๒๔๐๒ โปรตุเกสเข้ามาทำสัญญาทางพระราชไมตรีในสมัยรัชกาลที่ ๔




พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ โปรดเกล้าฯให้จัดพิธีต้อนรับ อิสิโดร์ กิมารายส์ แฟรนซิสโก (Isidoro Guimarães Francisco) ผู้ว่าราชการมาเก๊า ซึ่งได้รับมอบหมายให้มากรุงเทพฯในฐานะอัครราชทูต การต้อนรับครั้งนั้น พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ ยังได้มีพระราชดำรัสถึงประวัติศาสตร์การติดต่ออันยาวนานต่อกันระหว่างสยามกับโปรตุเกสด้วย


อิสิโดร์ กิมารายส์ แฟรนซิสโก
ความสัมพันธ์ระหว่างสยามกับโปรตุเกสนั้นมีมานานแล้วครับ

ในปี ๒๕๕๔ เรายังมีการเฉลิมฉลอง ๕๐๐ ปี ของความสัมพันธ์ สยาม-โปรตุเกส (๒๐๕๔-๒๕๕๔) หากนับย้อนหลังไป๕๐๐ปี ก็คือตั้งแต่ยุคต้นๆของกรุงศรีอยุธยาเลยครับที่ชาวโปรตุเกสเดินทางมาถึงเมืองหลวงของเรา

ชาติตะวันตกที่มาเผยแผ่ศาสนาพร้อมกับทำมาค้าขาย และเสาะแสวงหาอาณานิคมในภูมิภาคแถบนี้มาจากประเทศใหญ่ๆอยู่ไม่กี่ประเทศครับ ได้แก่ อังกฤษ ฝรั่งเศส สเปน ฮอลันดา และโปรตุเกส ลองนึกถึงประเทศต่างๆรอบบ้านเราดูเถิดครับ ว่าเคยเป็นเมืองอาณานิคมของประเทศใดบ้าง นับไปนับมาก็ไม่พ้นประเทศเหล่านี้

ศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกได้เผยแผ่เข้ามายังเอเชียในศตวรรษที่ 16 ตามเมืองต่างๆ ที่บรรดาชาติตะวันตกเข้าไปติดต่อสัมพันธ์ด้วย ในระยะแรกโปรตุเกสและสเปนซึ่งเป็นมหาอำนาจทางทะเลในยุคนั้นมีการแข่งขันกันทางด้านการค้าและการเผยแผ่คริสต์ศาสนาไปตามเมืองต่างๆ จนเกิดการวิวาทกันอยู่เนืองๆ

จนในที่สุดสมเด็จพระสันตะปาปาอเล็กซานเดอร์ที่ 6 จึงได้ตัดสินให้ยุติข้อวิวาทกัน โดยการให้แบ่งเขตการแสวงหาการค้าทางทะเลด้วยการให้ทำสนธิสัญญา (Treaty of Tordesillas) ขึ้นโดยให้โปรตุเกสขยายอำนาจไปทางทิศตะวันออก และสเปนขยายอำนาจไปทางทิศตะวันตก โดยมีทวีปยุโรปเป็นศูนย์กลาง ดังนั้นประเทศในแถบเอเชียเป็นส่วนใหญ่จึงตกอยู่ในเขตการขยายอิทธิพลทางทะเลของโปรตุเกสซึ่งรวมทั้งกรุงศรีอยุธยาของเราด้วย

อันที่จริงทั้งสเปนและโปรตุเกสก็ไปมีอาณานิคมอยู่ในเขตพื้นที่ตรงข้ามด้วยเหมือนกันแหละครับ ขณะที่สเปนมายึดหมู่เกาะฟิลิปปินส์เอาไว้ โปรตุเกสก็ข้ามไปยึดบราซิลเอาไว้ด้วยเหมือนกัน คนบราซิลนี่พูดภาษาโปรตุกีสกันนะครับ นักฟุตบอลบราซิลไปเล่นบอลอาชีพที่โปรตุเกสกันหลายคน พวกนี้ไม่มีความยุ่งยากในการสื่อสารอะไรเลย เหมือนๆกับชาวอาเจนตินาซึ่งพูดภาษาสเปนเนื่องจากเคยเป็นอาณานิคมของสเปน ชาวอาเจนตินากับสเปนก็จะใกล้ชิดกันเป็นพิเศษ

ทางเอเชียเรานั้น ดินแดนซึ่งเป็นแหล่งอาณานิคมสำคัญของโปรตุเกสได้แก่ รัฐกัวทางตะวันตกของอินเดีย บางเมืองแถบมะละกาของมาเลเซียปัจจุบัน กับเกาะมาเก๊าอีกแห่งหนึ่ง ใครไปเที่ยวตามเมืองเหล่านี้ก็จะเห็นสถาปัตยกรรมแบบโปรตุเกส และ อักษรภาษาโปรตุเกสอยู่ทั่วไป

ในปี พ.ศ.๒๐๕๔ อันเป็นปีเริ่มความสัมพันธ์สยาม-โปรตุเกสนั้น ขุนนางคนสำคัญของโปรตุเกส ชื่อ อะฟองโซ จ'อัลบูเกกี (Afonso de Albuquerque หรือจะเขียนว่า Aphonso d'Albuquerque, Affonso, Alfonso, Alphonso ก็ได้) นายคนนี้เป็นนายพลเรือ และทำหน้าที่เป็นรองผู้ว่าราชการโปรตุเกสประจำอินเดีย เป็นผู้สถาปนาจักรวรรดินิยมโปรตุเกสในมหาสมุทรอินเดีย


อะฟองโซ ยกกองเรือพร้อมทหาร 3,000 คน ยึดมะละกาได้ และเริ่มเปิดการค้ากับศูนย์อำนาจอื่นๆ คือ สยาม พะโค ปาไซ และปัตตานี โดยการส่งทูตชื่อ ดูอาตจ์ เฟนานเจส (Duarte Fernandes) ซึ่งรู้ภาษามาเลย์ อาศัยเรือสินค้าจีนมายังอยุธยา ตรงกับรัชกาลสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2



กรุงศรีอยุธยาส่งทูตกลับไปพร้อมกับเฟนานเจส แสดงความยินดีที่จะเปิดการค้ากับโปรตุเกส ความสัมพันธ์ระหว่างสยามกับโปรตุเกสจึงเริ่มต้นขึ้น ณ บัดนั้น

ในด้านการทหาร โปรตุเกสนับว่าเป็นพันธมิตรชาวตะวันตกชาติแรกของกรุงศรีอยุธยาทีเดียว ทหารโปรตุเกสเข้าเป็นทหารอาสาในสงครามเมืองเชียงกราน และจากการที่ทหารโปรตุเกสมีอาวุธปืนไฟที่ทันสมัยซึ่งคนในภูมิภาคนี้ยังไม่มีใช้ ทำให้กรุงศรีอยุธยาเป็นฝ่ายมีชัยในที่สุด และแน่นอนว่าเป็นการเริ่มต้นยุคใหม่ของยุทธวิธีการรบในภูมิภาค จากเดิมที่จับดาบวิ่งเข้าตะลุมบอนกัน เป็นการเปิดฉากการรบในระยะไกล ซึ่งนับจากนั้นมา ปืนไฟก็เข้ามามีบทบาทสำคัญในการทำศึกสงครามโดยตลอด


การเข้าร่วมเป็นทหารอาสาครั้งนั้นทำให้โปรตุเกสได้รับพระราชทานประโยชน์หลายประการ อาทิ เช่น ที่ดินสำหรับจัดสร้างศาสนสถาน ผลประโยชน์จากการค้า และ หมู่บ้านชาวโปรตุเกส ฯลฯ

ความสัมพันธ์ระหว่างกรุงศรีอยุธยากับโปรตุเกสยั่งยืนมานานหลายปี ดีกันบ้าง ขัดใจกันบ้างเหมือนอย่างการคบหาสมาคมของคนทั่วๆไป จนชาวโปรตุเกสมีลูกหลานตั้งรกรากอยู่กรุงสยามมากมายก่ายกอง

วัฒนธรรมทางอาหารการกินหลายอย่างของชาวโปรตุเกสก็แปลงสัญชาติเข้ามาปะปนอยู่กับอาหารและขนมไทยจนเรียบร้อยไปแล้ว

ความสัมพันธ์มาห่างหายไปบ้างคราวที่เราเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๒ แต่หลังจากเราตั้งตัวได้ โปรตุเกสก็เริ่มกลับมาเจริญสัมพันธไมตรีกันอีก

ตั้งแต่รัชกาลที่ ๑ จนถึง รัชกาลที่ ๓ ความสัมพันธ์เป็นเรื่องของการผูกไมตรีเพื่อติดต่อค้าขาย แต่ก็ยังมีปริมาณการค้าไม่มากนัก

ปี พ.ศ.๒๓๙๔ เมื่อรัชกาลที่ ๔ เสด็จขึ้นครองราชย์นั้น ทรงมีพระราชประสงค์จะทำสนธิสัญญากับโปรตุเกส เพื่อสถาปนาสัมพันธ์ไมตรีและการค้าที่ขาดตอนไป แต่กว่าจะติดต่อกันเป็นทางการได้ก็ใช้เวลาอยู่หลายปี
 
จนกระทั่ง วันที่ ๒๗ มกราคม พ.ศ.๒๔๐๒(ค.ศ.๑๘๕๙) อิสิโดร์ กิมารายส์ แฟรนซิสโก (Isidoro Guimarães Francisco) ผู้ว่าราชการมาเก๊า จึงได้เดินทางมาถึงกรุงเทพฯ ในฐานะอัครราชทูต และเราได้จัดพิธีต้อนรับอย่างสมเกียรติ

อ้างอิง :

วันศุกร์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2555

๒๐ มกราคม ๒๕๓๙ เรือหลวงจักรีนฤเบศรลงน้ำ

สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระราชินีโซเฟียแห่งสเปน เสด็จพระราชดำเนินในพิธีปล่อย เรือหลวงจักรีนฤเบศร ลงน้ำ ณ อู่เรือบาซาน เมืองเฟอร์รอล แคว้นกาลิเซีย ประเทศสเปน เมื่อวันเสาร์ที่ 20 มกราคม 2539 ก่อนจะขึ้นระวางประจำการเมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2540
เรือหลวงจักรีนฤเบศร เป็นเรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์ลำแรกและลำเดียวในขณะนี้ของราชนาวีไทย ใช้ปฏิบัติภารกิจด้านยุทธการและช่วยเหลือภัยพิบัติตลอดน่านน้ำไทยทั้งฝั่งอ่าวไทยและอันดามัน

·       ระวางขับน้ำเต็มที่ 11,485.5 ตัน
·       ยาว 182.50 ม.
·       กว้างสุด 30.50 ม.
·       กินน้ำลึก 6.25 ม.
·       ใช้เครื่องยนต์ดีเซล 2 เครื่อง กำลัง 11,780 แรงม้า และ
·       เครื่องยนต์แก๊สเทอร์ไบน์ จำนวน 2 เครื่อง กำลัง 44,250 แรงม้า
·       ความเร็วสูงสุด 26 นอต
·       ทหารประจำเรือ 601 คน ทหารประจำหน่วยบิน 758 คน
·       สามารถบรรทุกเครื่องบินขึ้นลงทางดิ่ง (SEA HARRIER) ได้ 9 เครื่อง และ
·       เฮลิคอปเตอร์ (SEA HAWK) อีก 6 เครื่อง
·       ใช้งบประมาณในการสร้าง 7 พันล้านบาท

ความเป็นมาของเรือลำนี้สืบเนื่องมาเมื่อปี พ.ศ 2532 ได้เกิดพายุไต้ฝุ่นเกย์ ขึ้นในอ่าวไทยจากเหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้ประชาชนและชาวประมงที่ประสบเหตุหรือผู้ที่อยู่อาศัยใกล้พื้นที่ต้องบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมากทั้งในด้านต่างๆอันได้แก่ การคมนาคม การสื่อสาร ต้องถูกตัดขาดลงอย่างสิ้นเชิง กองทัพเรือในฐานะหน่วยกำลังทางทะเล ได้ใช้ความสามารถต่างๆอาทิเช่น กองกำลังทางทะเล และ เครื่องบิน ถึงกระนั้นยังไม่สามารถต้านทานต่อสภาพเลวร้ายทางทะเลในครั้งนั้นได้ และนี่คือแนวคิดในการจัดหาเรือขนาดใหญ่พร้อมเฮลิคอปเตอร์ หรือ อากาศยานที่มีลักษณะเด่นเพื่อใช้ในการช่วยเหลือ และค้นหาผู้ประสบภัยทางทะเลได้ดี อีกทั้งประเทศไทยเราประกาศเขตเศรษฐกิจจำเพาะออกไปอีก 200 ไมล์ทะเล ดังนั้นกองทัพเรือจึงมีภารกิจอีกอย่างหนึ่งคือ ปกป้องผลประโยชน์ของชาติทางทะเลอีกทางหนึ่งด้วย 
คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2535 อนุมัติให้กองทัพเรือว่าจ้างสร้างเรือ บรรทุกเฮลิคอปเตอร์ ลักษณะรัฐบาลต่อรัฐบาลจำนวน 1 ลำจากบริษัทบาซาน ประเทศสเปน วงเงิน ประมาณ 7,100 ล้าน

ภารกิจของ ร.ล จักรีนฤเบศร ในยามสงบ คือการปกป้องคุ้มครองผลประโยชน์ของชาติในทะเลได้แก่เส้นทางคมนาคม และทรัพยากรธรรมชาติ ของชาติ และช่วยเหลือผู้ประสบภัยในทะเลสามารถค้นหาและเป็นฐานปฏิบัติการณ์ลอยน้ำให้กับหน่วยงานต่างๆได้ และยังสามารถเป็นโรงพยาบาลขนาดใหญ่ ที่คอยช่วยเหลือในกรณีประสบภัยอีกด้วย ทั้งยังสามารถอพยพประชาชนออกจากพื้นที่ด้วยเฮลิคอปเตอร์ประจำเรือและ คอยควบคุมรักษาสิ่งแวดล้อมในทะเล ส่วนในยามสงคราม เรือจักรีนฤเบศร ก็จะมีหน้าที่ควบคุมและบัญชาการกองเรือในทะเล และปราบเรือดำน้ำและสนับสนุนการปฏิบัติการทางทหารอีกด้วย

 
สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงประกอบพิธีปล่อย ร.ล.จักรีนฤเบศรลงน้ำ  ผู้จัดการอู่ BAZAN ทูลเกล้าฯ ถวายฆ้อน  เพื่อทรงทุบลงบนลิ่ม ตัดผ้าแพรปล่อยขวดแชมเปญ

บัดนี้ได้เวลาอันเป็นอุดมมงคลฤกษ์ที่จะประกอบพิธีปล่อยเรือ
เรือหลวงจักรีนฤเบศร ลงน้ำแล้ว
ขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากลโลก
ได้โปรดคุ้มครองรักษาให้เรือหลวงจักรีนฤเบศรนี้ พร้อมทั้งทหารประจำเรือ
ตลอดจนผู้ที่จะเดินทางไปกับเรือลำนี้
แคล้วคลาดจากภยันตรายทั้งปวง
ประสบความสำเร็จในการปฏิบัติภารกิจด้วยความเรียบร้อย
ปราศจากอุปสรรคใด ๆ
มีชัยชนะแก่ศัตรูหมู่ร้าย
นำประโยชน์ เกียรติยศชื่อเสียงมาสู่ราชนาวีไทย
และประเทศชาติสืบไป