๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๓๒๘
สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท กรมพระราชวังบวรสถานมงคล ในรัชกาลที่ ๑ โปรดให้ระดมพลเข้าตีค่ายพม่าที่ ตำบลลาดหญ้า กาญจนบุรี พร้อมกันทุกด้านในคราวสงครามเก้าทัพ
หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช สถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ เป็นราชธานีแห่งใหม่ เมื่อ พ.ศ.๒๓๒๕ หลังจากเสียกรุงศรีอยุธยาได้ ๑๕ ปี และเพิ่งผ่านพ้นรัชสมัยสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีซึ่งเต็มไปด้วยการทำศึกสงครามเพื่อความมั่นคงของราชอาณาจักร เวลานั้นบ้านเมืองอยู่ในช่วงผ่านศึกสงครามมาใหม่ ๆ เพิ่งเริ่มต้นสร้างราชธานีได้เพียงสอง-สามปีเท่านั้น
ขณะเดียวกัน ในปี พ.ศ.๒๓๒๘ หลังจากพระเจ้าปดุง กษัตริย์พม่า บรมราชาภิเษกขึ้นเป็นกษัตริย์อังวะแล้ว ต้องการประกาศแสนยานุภาพ เผยแผ่อิทธิพล โดยได้ทำสงครามรวบรวมเมืองเล็กเมืองน้อยรวมถึงเมืองประเทศราชให้เป็นปึกแผ่น แล้วก็ได้ยกกองกำลังเข้ามาตีไทย โดยมีจุดประสงค์ที่จะทำสงครามเพื่อทำลายกรุงรัตนโกสินทร์ให้พินาศย่อยยับเหมือนเช่นกรุงศรีอยุธยา
สงครามครั้งนี้พระเจ้าปดุงได้ยกทัพมาถึง ๙ กองทัพ รวมกำลังพลมากถึง ๑๔๔,๐๐๐ คน โดยแบ่งการเข้าโจมตีกรุงรัตนโกสินทร์ออกเป็น ๕ ทิศทาง
ทัพที่ ๑ ยกมาตีหัวเมืองประเทศราชทางปักษ์ใต้ตั้งแต่เมืองระนองจนถึงเมืองนครศรีธรรมราช
ทัพที่ ๒ ยกเข้ามาทางเมืองราชบุรีเพื่อที่จะรวบรวมกำลังพลกับกองทัพที่ตีหัวเมืองปักษ์ใต้แล้วค่อยเข้าโจมตีกรุงรัตนโกสินทร์
ทัพที่ ๓ และ ๔ เข้ามาทางด่านแม่ละเมาแม่สอด
ทัพที่ ๕-๗ เข้ามาทางหัวเมืองฝ่ายเหนือตั้งแต่เชียงแสน เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง ตีตั้งแต่หัวเมืองฝ่ายเหนือลงมาสมทบกับทัพที่ ๓,๔ ที่ยกเข้ามาทางด่านแม่ละเมา เพื่อตีเมืองตาก กำแพงเพชร พิษณุโลก นครสวรรค์
ทัพที่ ๘-๙ เป็นทัพหลวงพระเจ้าปดุงเป็นผู้คุมทัพ โดยมีกำลังพลมากที่สุดถึง ๕๐,๐๐๐ คน ยกเข้ามาทางด่านพระเจดีย์สามองค์เพื่อรอสมทบกับทัพเหนือ และใต้โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะเข้ารบกับกรุงเทพฯ
ฝ่ายไทยเมื่อทราบข่าวศึกก็วางแผนต่อสู้ โดยจัดกองทัพออกไปสกัดกองทัพพม่าไว้ ๓ ทาง คือ
ทัพที่ ๑ เจ้าฟ้ากรมหลวงอนุรักษ์เทเวศร์ (กรมพระราชบวรสถานพิมุข) ถือพล ๑๕,๐๐๐ ไปตั้งขัดตาทัพอยู่ที่ เมืองนครสวรรค์ คอยป้องกันมิให้พม่าที่ยกทัพลงมาทางข้างเหนือล่วงเลยเข้ามาถึงกรุงเทพฯได้ ในช่วงเวลาที่กำลังต่อสู้ข้าศึกทางเมืองกาญจนบุรี
ทัพที่ ๒ สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาทเสด็จเป็นจอมทัพถือพลจำนวน ๓๐,๐๐๐ ไปตั้งรับพม่าที่เมืองกาญจนบุรี (เก่า) คอยต่อสู้กองทัพพระเจ้าปะดงที่จะยกมาทางด่านพระเจดีย์สามองค์
ทัพที่ ๓ เจ้าพระยาธรรมมาธิบดี (บุญรอด) กับเจ้าพระยายมราชถือพล ๕,๐๐๐ ไปตั้งรับพม่าที่เมืองราชบุรี คอยต่อสู้พม่าซึ่งจะยกทัพเข้ามาทางใต้หรือทางเมืองทะวาย
สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาทเสด็จยกกองทัพออกไปตั้งรับกองทัพพม่าที่ทุ่งลาดหญ้า(ปัจจุบันอยู่ในท้องที่อำเภอเมืองกาญจนบุรี)โดยตั้งค่ายหลายค่ายชักปีกกาถึงกันทุกค่ายและให้ขุดสนามเพลาะปักขวากหนามไว้ด้วย แล้วทรงจัดให้พระยามหาโยธา (เจ่ง) คุมกองมอญ ๓,๐๐๐ ยกออกไปตั้งค่ายขัดตาทัพพม่าอยู่ทางด่านกรามช้างอันเป็นช่องเขาริมลำน้ำแควใหญ่
กองทัพพม่าซึ่งยกเข้ามาทางด่านพระเจดีย์สามองค์ได้ยกทัพหน้าเดินเรื่อยมาและเข้าโจมตีกองมอญที่ด่านกรามช้างแตกพ่ายถอยร่นเข้ามายังค่ายที่ทุ่งลาดหญ้า กองทัพพม่าได้ยกติดตามเข้ามา และปะทะกับกองทัพไทยที่ตั้งค่ายอยู่ที่ทุ่งลาดหญ้า กองทัพพม่าจึงได้หยุดยั้งตั้งค่ายอยู่บริเวณชายทุ่งลาดหญ้านั่นเอง
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงคุมกำลังไพร่พลประมาณ ๒๐,๐๐๐ เศษ เป็นกองทัพหลวงเตรียมไว้ในกรุงเทพฯ ถ้าหากกำลังข้าศึกบุกหนักทางด้านไหนก็จะได้ยกไปช่วยได้ทันที
ทัพที่ ๑ เจ้าฟ้ากรมหลวงอนุรักษ์เทเวศร์ (กรมพระราชบวรสถานพิมุข) ถือพล ๑๕,๐๐๐ ไปตั้งขัดตาทัพอยู่ที่ เมืองนครสวรรค์ คอยป้องกันมิให้พม่าที่ยกทัพลงมาทางข้างเหนือล่วงเลยเข้ามาถึงกรุงเทพฯได้ ในช่วงเวลาที่กำลังต่อสู้ข้าศึกทางเมืองกาญจนบุรี
ทัพที่ ๒ สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาทเสด็จเป็นจอมทัพถือพลจำนวน ๓๐,๐๐๐ ไปตั้งรับพม่าที่เมืองกาญจนบุรี (เก่า) คอยต่อสู้กองทัพพระเจ้าปะดงที่จะยกมาทางด่านพระเจดีย์สามองค์
ทัพที่ ๓ เจ้าพระยาธรรมมาธิบดี (บุญรอด) กับเจ้าพระยายมราชถือพล ๕,๐๐๐ ไปตั้งรับพม่าที่เมืองราชบุรี คอยต่อสู้พม่าซึ่งจะยกทัพเข้ามาทางใต้หรือทางเมืองทะวาย
สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาทเสด็จยกกองทัพออกไปตั้งรับกองทัพพม่าที่ทุ่งลาดหญ้า(ปัจจุบันอยู่ในท้องที่อำเภอเมืองกาญจนบุรี)โดยตั้งค่ายหลายค่ายชักปีกกาถึงกันทุกค่ายและให้ขุดสนามเพลาะปักขวากหนามไว้ด้วย แล้วทรงจัดให้พระยามหาโยธา (เจ่ง) คุมกองมอญ ๓,๐๐๐ ยกออกไปตั้งค่ายขัดตาทัพพม่าอยู่ทางด่านกรามช้างอันเป็นช่องเขาริมลำน้ำแควใหญ่
กองทัพพม่าซึ่งยกเข้ามาทางด่านพระเจดีย์สามองค์ได้ยกทัพหน้าเดินเรื่อยมาและเข้าโจมตีกองมอญที่ด่านกรามช้างแตกพ่ายถอยร่นเข้ามายังค่ายที่ทุ่งลาดหญ้า กองทัพพม่าได้ยกติดตามเข้ามา และปะทะกับกองทัพไทยที่ตั้งค่ายอยู่ที่ทุ่งลาดหญ้า กองทัพพม่าจึงได้หยุดยั้งตั้งค่ายอยู่บริเวณชายทุ่งลาดหญ้านั่นเอง
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงคุมกำลังไพร่พลประมาณ ๒๐,๐๐๐ เศษ เป็นกองทัพหลวงเตรียมไว้ในกรุงเทพฯ ถ้าหากกำลังข้าศึกบุกหนักทางด้านไหนก็จะได้ยกไปช่วยได้ทันที
ส่วนกองทัพหนุนของพม่าที่ยกตามมาก็หยุดยั้งตั้งค่ายเป็นระยะ ๆ ที่ท่าดินแดง สามสบและบริเวณชายแดน ซึ่งได้รับความลำบากมากในเรื่องการส่งและจัดหาเสบียงอาหารจากแดนพม่าข้ามภูเขาและบุกป่าฝ่าดงเข้าส่งให้กับทุกกองทัพ
สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาทได้ให้ทหารออกไปโจมตีค่ายพม่า แต่พม่าก็ต่อสู้อย่างเข้มแข็ง พลทหารไทยและพม่าต่างยิงโต้ตอบกัน ทำให้บาดเจ็บล้มตายลงทั้งสองข้าง
สมเด็จพระบวรราชมหาสุรสิงหนาท จึงทรงตั้งกองโจรให้พระยาสีหราชเดโช พระยาท้ายน้ำ พระยาเพชรบุรี ทั้งสามนายเป็นนายทัพกองโจร และให้พระยารามคำแหง ถือพล ๕๐๐ ยกทัพกองโจรลัดป่าไปคอยซุ่มสกัด คอยตีกองลำเลียงเสบียงอาหารของพม่าที่พุไคร้ ทางลำน้ำแควไทรโยค แต่นายกองโจรทั้งสามนายอ่อนแอและย่อท้อได้หลบหนีไปซุ่มตั้งทัพอยู่ที่อื่น สมเด็จพระบวรราชเจ้าสุรสิงหนาทจึงดำรัสสั่งให้ประหารชีวิตนายทัพกองโจรทั้งสามนาย แล้วนำศีรษะไปเสียบประจานไว้หน้าค่ายหลวงที่ทุ่งลาดหญ้า ส่วนปลัดทัพสองนายนั้นก็ให้เอาดาบสับศีรษะคนละ ๓ เสี่ยง เป็นการลงโทษไม่ให้ผู้ใดเอาเยี่ยงอย่าง
แล้วให้พระเจ้าหลานเธอพระองค์เจ้าขุนเณรเป็นนายทัพกองโจรกับข้าหลวงหลายนาย ถือพล ๑,๐๐๐ ยกไปบรรจบกองโจรเดิม อีก ๕๐๐ รวมเป็น ๑,๕๐๐ ไปคอยสกัดกองลำเลียงพม่าที่พุไคร้ มิให้ส่งกองลำเลียงเสบียงอาหารถึงกันได้ กองทัพพม่าที่ตั้งค่ายอยู่ที่ทุ่งลาดหญ้าจะได้ขาดเสบียงอาหารและอ่อนกำลังลง
พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าขุนเณร ได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างเข้มแข็ง จับได้พม่า ช้าง ม้า และโค ต่าง ๆ ส่งมายังค่ายหลวงที่ ทุ่งลาดหญ้าอยู่เนือง ๆ
ฝ่ายแม่ทัพหน้าพม่าทั้งสองนายที่ตั้งค่ายอยู่ที่ชายทุ่งลาดหญ้า ได้แต่งหอรบขึ้นที่ค่ายหน้าหลายแห่ง แล้วให้เอาปืนใหญ่ตั้งขึ้นบนหอรบยิงค่ายกองทัพไทย สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาทก็ให้เอาปืนลูกไม้แต่ครั้งกรุงธนบุรี(ปืนใหญ่ที่ใช้ท่อนไม้เป็นกระสุน)เข็นออกมาตั้งหน้าค่ายยิงค่ายและหอรบพม่าพังลงหลายแห่งทำให้ไพร่พลบาดเจ็บล้มตาย จนพม่าครั่นคร้ามไม่กล้าออกมาโจมตีค่ายไทยทั้งเสบียงอาหารก็ขาดแคลนลง
ในขณะที่สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาทสู้รบกับพม่าติดพันกันอยู่ ที่ทุ่งลาดหญ้านั้น พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงพระปริวิตกเกรงว่ากำลังไพร่พลจะไม่พอตีทัพพม่าให้แตกพ่ายไป จึงเสด็จ ยกกองทัพหลวงหนุนไปจากกรุงเทพฯ เมื่อวันอาทิตย์เดือนยี่ ขึ้น ๙ ค่ำ ปีมะเส็ง พ.ศ.๒๓๒๘ เมื่อเสด็จไปถึงค่ายหลวงที่ทุ่งลาดหญ้าก็ทรงปรึกษาราชการสงคราม สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาทกราบทูลว่า
ฝ่ายแม่ทัพหน้าพม่าทั้งสองนายที่ตั้งค่ายอยู่ที่ชายทุ่งลาดหญ้า ได้แต่งหอรบขึ้นที่ค่ายหน้าหลายแห่ง แล้วให้เอาปืนใหญ่ตั้งขึ้นบนหอรบยิงค่ายกองทัพไทย สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาทก็ให้เอาปืนลูกไม้แต่ครั้งกรุงธนบุรี(ปืนใหญ่ที่ใช้ท่อนไม้เป็นกระสุน)เข็นออกมาตั้งหน้าค่ายยิงค่ายและหอรบพม่าพังลงหลายแห่งทำให้ไพร่พลบาดเจ็บล้มตาย จนพม่าครั่นคร้ามไม่กล้าออกมาโจมตีค่ายไทยทั้งเสบียงอาหารก็ขาดแคลนลง
ในขณะที่สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาทสู้รบกับพม่าติดพันกันอยู่ ที่ทุ่งลาดหญ้านั้น พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงพระปริวิตกเกรงว่ากำลังไพร่พลจะไม่พอตีทัพพม่าให้แตกพ่ายไป จึงเสด็จ ยกกองทัพหลวงหนุนไปจากกรุงเทพฯ เมื่อวันอาทิตย์เดือนยี่ ขึ้น ๙ ค่ำ ปีมะเส็ง พ.ศ.๒๓๒๘ เมื่อเสด็จไปถึงค่ายหลวงที่ทุ่งลาดหญ้าก็ทรงปรึกษาราชการสงคราม สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาทกราบทูลว่า
พม่าอดอยากมากอยู่แล้วขออย่าได้ทรงพระวิตกถึงการรบที่ทุ่งลาดหญ้าเลย พม่าคงจะแตกพ่ายไปในไม่ช้านี้อย่างแน่นอนขอให้เสด็จกลับคืนพระนครเถิด เผื่อข้าศึกจะหนักแน่นมาทางอื่นจะหนุนกันได้ทันท่วงที
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงเห็นชอบด้วยจึงเสด็จยกกองทัพหลวงคืนพระนคร
ต่อมาสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสีหนาททรงทำกลอุบายลวงข้าศึกว่ากองทัพไทยมีกำลังไพร่พลและศาสตราวุธมาหนุนเนืองเป็นจำนวนมาก โดยแบ่งกำลังพลในกองทัพให้ลอบออกจากค่ายในเวลากลางคืนอย่างเงียบๆและไปให้ไกลพอควร ครั้นรุ่งเช้าก็ยกกระบวนเดินพลช้างม้าเรียงรายเนืองกันขึ้นไปอย่างไม่ขาดสายตั้งแต่เช้าจนเย็นเพื่อกลับเข้าค่าย
ต่อมาสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสีหนาททรงทำกลอุบายลวงข้าศึกว่ากองทัพไทยมีกำลังไพร่พลและศาสตราวุธมาหนุนเนืองเป็นจำนวนมาก โดยแบ่งกำลังพลในกองทัพให้ลอบออกจากค่ายในเวลากลางคืนอย่างเงียบๆและไปให้ไกลพอควร ครั้นรุ่งเช้าก็ยกกระบวนเดินพลช้างม้าเรียงรายเนืองกันขึ้นไปอย่างไม่ขาดสายตั้งแต่เช้าจนเย็นเพื่อกลับเข้าค่าย
สมเด็จกรมพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาททรงทำกลลวงข้าศึกเช่นนี้อยู่หลายวัน พม่าซึ่งอยู่ที่สูงกว่าและเห็นก็เข้าใจว่ากองทัพไทยได้กำลังเพิ่มเติมเสมอก็ยิ่งครั่นคร้ามมากขึ้น
สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาททรงสังเกตเห็นว่ากองทัพพม่าอดอยากและครั่นคร้ามมากแล้ว จึงสั่งให้ไพร่พลเจ้าโจมตีค่ายพม่าพร้อมกันทุกค่ายในเวลาเดียวกัน เมื่อวันศุกร์ แรม ๔ ค่ำ เดือน ๓ ปีมะเส็ง ซึ่งตรงกับวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๓๒๘ ฝ่ายพม่าพยายามสู้รบอยู่ตั้งแต่เช้าจนค่ำครั้นเวลาประมาณทุ่มเศษ แม่ทัพพม่าเห็นเหลือกำลังที่จะต่อสู้ก็แตกฉานออกจากค่ายหนีไป ไทยได้ค่ายพม่าหมดทุกค่ายจับไพร่พล และเครื่องศาสตราวุธ ปืนใหญ่น้อยได้เป็นอันมาก
สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาททรงสังเกตเห็นว่ากองทัพพม่าอดอยากและครั่นคร้ามมากแล้ว จึงสั่งให้ไพร่พลเจ้าโจมตีค่ายพม่าพร้อมกันทุกค่ายในเวลาเดียวกัน เมื่อวันศุกร์ แรม ๔ ค่ำ เดือน ๓ ปีมะเส็ง ซึ่งตรงกับวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๓๒๘ ฝ่ายพม่าพยายามสู้รบอยู่ตั้งแต่เช้าจนค่ำครั้นเวลาประมาณทุ่มเศษ แม่ทัพพม่าเห็นเหลือกำลังที่จะต่อสู้ก็แตกฉานออกจากค่ายหนีไป ไทยได้ค่ายพม่าหมดทุกค่ายจับไพร่พล และเครื่องศาสตราวุธ ปืนใหญ่น้อยได้เป็นอันมาก
ส่วนพระองค์เจ้าขุนเณรซึ่งเป็นนายทัพกองโจรเมื่อทราบว่าทัพพม่าแตกพ่ายแล้วก็นำกองโจรออกสกัดตีซ้ำเติม จับได้ผู้คนเครื่องศษสตรวุธ ช้าง ม้า ส่งเข้ามาถวายสมเด็จพระบวรราชเจ้ามาหสุรสิงหนาท ณ ค่ายหลวงที่ทุ่งลาดหญ้าเป็นอันมาก
ครั้งพระเจ้าปะดุงทรงทราบว่ากองทัพหน้าแตกกลับไปก็เห็นว่าจะทำการสู้รบต่อไปไม่สำเร็จ จึงสั่งให้เลิกทัพออกไปเมืองเมาะตะมะอย่างรวดเร็ว
ครั้งพระเจ้าปะดุงทรงทราบว่ากองทัพหน้าแตกกลับไปก็เห็นว่าจะทำการสู้รบต่อไปไม่สำเร็จ จึงสั่งให้เลิกทัพออกไปเมืองเมาะตะมะอย่างรวดเร็ว
สงครามที่ทุ่งลาดหญ้าคราวนี้ไทยกับพม่าสู้รบขับเคี่ยวกันมาเป็นเวลาประมาณสองเดือนเศษ ผลของสงครามนั้นก็เป็นที่ประจักษ์ชัดว่าพม่าเป็นฝ่ายปราชัยอย่างยับเยิน และการประสบชัยชนะอย่างงดงามของกองทัพไทยนั้น ก็เป็นผลเนื่องมาจากความเข้มแข็งความห้าวหาญเด็ดเดี่ยวและความมีสติปัญญาเฉลียวฉลาดมีไหวพริบปฏิภาณในด้านกลศึกอย่างลึกซึ้ง ของสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาทประการหนึ่ง อีกประการหนึ่งก็เป็นผลเนื่องมาจากวีรกรรมอันห้าวหาญของนักรบบรรพชนของเราทุกท่านที่ได้เป็นกำลังอันสำคัญในการต่อสู้กับพม่าข้าศึกอย่างเข้มแข็งด้วย
ดังนั้นเราจึงควรภูมิใจในวีรกรรมของบรรพบุรุษของเราที่ได้พยายามปกป้องผืนแผ่นดินไทยอันเป็นที่รักและหวงแหนของเราไว้ได้ และจากสงครามคราวนี้เองได้ทำให้ชื่อเสียงของทุ่งลาดหญ้าจารึกอยู่ในประวัติศาสตร์ของชาวไทยตั้งแต่นั้นมา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น